โลกไอดอล : ทำไมค่ายถึงปล่อยให้ศิลปินหมดสัญญา ?
ตลอดช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีข่าวคราวเกี่ยวกับการหมดสัญญาของศิลปินที่เป็นที่รู้จัก และมีแฟนๆคอยติดตามจำนวนมากออกมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มไอดอลกรุ๊ปที่เดบิวท์ในช่วงปี 2009-2010 ที่สุดท้ายแล้วหลายวงบทสรุปคือการยุติโปรโมท
พร้อมกับข่าวการหมดสัญญาและไม่ต่อสัญญาใหม่ ทำให้เกิดข้อสงสัยของแฟนๆหลายคนว่าทำไมค่ายต่างๆถึงไม่พยายามรักษาศิลปินเหล่านี้ที่เป็นศิลปินหลักของค่ายไว้ เพราะส่วนใหญ่เหตุผลในการไม่ต่อสัญญาที่ออกมาจากทางค่ายมักเป็นเหตุผลในเรื่องของความต้องการที่จะทำงานในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง หรือต้องการทำงานในเส้นทางใหม่ ซึ่งแฟนๆก็ได้ตั้งคำถามว่า ทำไมค่ายไม่สามารถจัดการงานตามความต้องการของศิลปินได้
ล่าสุดได้มีการให้สัมภาษณ์ของบุคคลที่คลุกคลีเกี่ยวกับเรื่องภายในวงการบันเทิงรวมถึงเงื่อนไขสัญญาต่างๆของศิลปินในวงการบันเทิง ซึ่งเค้าได้แสดงมุมมองต่อเรื่องการไม่ต่อสัญญาใหม่ของศิลปินว่า จริงๆแล้วรายละเอียดในสัญญามีความเฉพาะเจาะจงลงไปในสัญญาของแต่ละคน ถึงแม้จะเป็นสมาชิกวงเดียวกัน แต่ในการต่อสัญญาใหม่สมาชิกส่วนใหญ่จะมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน
ความฮาแบบ BABYMONSTER! วัดสกิลวาไรตี้กับ Knowing Brothes ดูได้ที่ Viu ▶ คลิก
โดยหัวข้อหลักที่มักจะใช้เวลาในการเจรจานานคือเรื่องของขอบเขตการทำงานของแต่ละคนที่อยากเน้นไปในแต่ละด้านต่างกัน เรื่องของการทำกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบวง เรื่องของสัญญาจำนวนงานต่อปี ระยะของสัญญา ไปจนถึงเรื่องที่มักเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดคือเรื่องของส่วนแบ่งรายได้
ในความเป็นจริงแล้วการต่อสัญญาใหม่ ตัวศิลปินมักคาดหวังว่าจะได้ส่วนแบ่งรายได้ที่มากขึ้นจากในสัญญาฉบับก่อน รวมไปถึงการการันตีว่าเค้าจะยังคงได้รับงานอย่างสม่ำเสมอ และมีระยะเวลาในสัญญาที่ทำให้เค้ารู้สึกอุ่นใจ แต่ปัญหามักเกิดจากความเหลื่อมล้ำ ซึ่งมาจากความแตกต่างของระดับความนิยมในสมาชิกแต่ละคน เพราะเมื่อมองการเซ็นสัญญาใหม่เป็นการลงทุนทางด้านธุรกิจแล้วการตัดสินใจในการเจรจาเรื่องสัญญาย่อมตีออกมาเป็นมูลค่าทางการเงินทั้งสิ้น
สำหรับวงที่ผ่านการทำกิจกรรมมานานกว่า 7 ปี ส่วนใหญ่มักจะผ่านช่วงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดมาแล้ว ซึ่งไม่ใช่ทุกวงที่จะสามารถรักษาระดับความนิยมเอาไว้ได้ยาวนาน ทำให้ค่ายส่วนใหญ่มองว่าการต่อสัญญาใหม่กับศิลปินเป็นการลงทุนในขาลงซึ่งมีความเสี่ยงสูงและอาจไม่คุ้มกับการลงทุน และปัญหาเช่นนี้มักเกิดขึ้นชัดเจนกับกลุ่มค่ายบันเทิงที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
จากสัมภาษณ์นี้ได้มีการยกตัวอย่างของ CUBE Entertainment และสมาชิกของ BEAST ซึ่งตามความต้องการแล้วสมาชิกในวงยังต้องการที่จะทำกิจกรรมร่วมกันต่อไป แต่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ในรายละเอียดเรื่องของสัดส่วนการแบ่งรายได้ ทำให้ 5 สมาชิกของ BEAST ตัดสินใจออกมาตั้งค่ายจัดการกิจกรรมของตัวเองในชื่อ AroundUS Entertainment พร้อมกับใช้ชื่อวงใหม่ว่า Highlight เนื่องจากชื่อของ BEAST นั้นยังคงเป็นลิขสิทธิ์ของ CUBE อยู่
จากกรณีของ CUBE และ BEAST เค้าได้วิเคราะห์ว่า ทางกลุ่มผู้บริหารใหม่ของค่ายมองว่าความนิยมของ BEAST กำลังอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งประเมินแล้วรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมีแนวโน้มลดลงตามความนิยม และไม่สัมพันธ์กับสัดส่วนรายได้ที่สมาชิกวงขอปรับเพิ่มในสัญญา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท ทำให้สุดท้ายเมื่อทาง CUBE ไม่สามารถตกลงในเรื่องสัดส่วนรายได้ที่เหมาะสมได้จึงเป็นที่มาของการไม่ต่อสัญญาใหม่ของ 5 สมาชิก BEAST
และยังมีกรณีของ T-ara ที่ล่าสุดที่มีทั้งสมาชิกวงที่ไม่ต่อสัญญา และสมาชิกที่ต่อสัญญาระยะสั้นออกไปเพื่อให้ทำกิจกรรมที่ได้เริ่มต้นไปแล้วให้เสร็จ ซึ่งในกรณีนี้เค้ามองว่าเป็นประเด็นที่ต่างไปจากเรื่องของ BEAST และ CUBE เพราะปัญหาน่าจะมาจากเรื่องของแผนการในอนาคตของทางค่ายที่วางไว้ไม่สอดคล้องกับความต้องการของสมาชิกวง รวมถึงความไม่แน่นอนของกิจกรรมจากทางค่าย ทำให้สมาชิกตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญาใหม่
ช่วงท้ายของการสัมภาษณ์นี้เค้ายังได้ทิ้งท้ายว่า ในเรื่องของการเปิดเผยข้อมูลต่างๆสู่สาธารณะมักเป็นการแจ้งรายละเอียด และบทสรุปแค่ส่วนเดียวเพื่อให้ทราบว่าศิลปิน ต่อหรือไม่ต่อสัญญา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักไม่พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นบนกระดาษและตัวอักษรที่ระบุเงื่อนไข พร้อมกับเป็นการจากลาที่ดีและจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต ซึ่งก็กลายเป็นประโยคตามธรรมเนียมของแถลงเรื่องนี้ไปแล้ว
