Eddie BlogNews

Red Velvet “The Red” 1 ปีผ่านไปกับโจทย์สุดหินที่ SM ตั้งไว้ : EDD 07

Red Velvet กลับมาครั้งนี้พร้อมกับอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรก The Red อัลบั้มที่เหมือนเป็นบทสรุปตลอด 1 ปีของการเดบิวท์เป็นเกิร์ลกรุ๊ปจากค่ายอันดับต้นๆของเกาหลีอย่าง SM Entertainment

ย้อนกลับไปเมื่อเดือน สิงหาคม 2014 เราได้รู้จักกับ Red Velvet เกิร์ลกรุ๊ปวงใหม่ที่มาพร้อมกับลุคสีสันสดใสของ 4 สาว ไอรีน เวนดี้ ซึลกิ และ จอย กับเพลง Happiness ที่มาในจังหวะ African beats ซึ่งในตอนนั้นถือว่าเป็นจังหวะเพลงที่แตกต่างจากวงอื่นๆในกระแสหลักของ K-Pop ทำให้หลายๆคนเริ่มสงสัยว่า SM Entertainment วางแนวทางของ Red Velvet ไว้อย่างไร จะเป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปความหวังใหม่ที่เกิดขึ้นมาสานต่อความสำเร็จของ Girl’s Generation หรือจะเป็นวงแนวทดลองอย่างที่เคยวางคอนเซปให้กับ f(x)

ความฮาแบบ BABYMONSTER! วัดสกิลวาไรตี้กับ Knowing Brothes ดูได้ที่ Viu ▶ คลิก

ไอรีน ลีดเดอร์ของ Red Velvet มักจะอธิบายความหมายของชื่อวงว่า Red Velvet คือส่วนผสมของ Red เสน่ห์ดึงดูดความสนใจ ความมุ่งมั่น  และ Velvet ความนุ่มนวล  ความอ่อนหวาน ความเป็นผู้หญิง โดยสองสิ่งนี้บ่งบอกถึงความเป็นอิสระ และความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนโลกแห่งดนตรีด้วยเสียงเพลงและของพวกเธอ

จากความหมายของ Red Velvet ข้างต้นทำให้แฟนๆ K-Pop บางคนถึงกับขำ แล้วพูดออกมาว่า “ก็คงเป็นแค่คำที่คิดขึ้นมาเพื่ออธิบายให้ดูสวยงามเท่านั้น มันคงไม่ได้มีความหมายแบบนี้นจริงๆหรอก” แต่ใครจะรู้ว่าพอผ่านมา 1 ปี ความหมายเหล่านี้จะเป็นโจทย์สุดหินของ SM Entertainment ที่ตั้งใจสร้าง Red Velvet ให้กลายเป็นวงระดับแนวหน้าด้วยแนวทางที่แตกต่างจากสิ่งที่ตลาด K-Pop กำลังทำอยู่

Red Velvet เริ่มต้นด้วยเพลงที่หลายๆคนนิยามว่า “ฟังยาก” ตั้งแต่ Happiness มาถึง Ice Cream Cake และล่าสุด Dumb Dumb แต่ในขณะเดียวกัน Red Velvet ก็มีเพลงอีกแนวที่แตกต่างโปรโมทสลับกับเพลง “ฟังยาก” เช่น Be Natural และ Automatic

บล๊อกเกอร์จาก Seoulbeats เคยนิยาม Red Velvet ว่าเป็นวงเกิร์ลกรุ๊ป 2 บุคลิก ที่แฟนๆสามารถเลือกที่จะชอบ เพลงแนวคุ้นหู ฟังสบายอย่าง Automatic หรือจะชอบความแปลกใหม่ เพลงที่จะต้องกดฟังซ้ำด้วยความสงสัยอย่าง Ice Cream Cake (แต่ส่วนใหญ่แฟนๆจะรัก Red Velvet ทั้ง 2 บุคลิกนี้เลย) เหมือนเป็น Red และ Velvet บุคลิก 2 แบบที่รวมกันเป็น Red Velvet

K-Pop in This Month
Nov Artist Release
1BABYMONSTER
Kep1er
ODD YOUTH
DRIP
TIPI-TAP
Best Friendz
4MINHO
TXT
CALL BACK
The Star Chapter: SANCTUARY
5YESUNG
SUNGJIN
EPEX
It’s Complicated
30
Youth Chapter 2 : YOUTH DEFICIENCY
6DOYOUNG
Heize
KINO
The Story
FALLIN’
Everglow
7VIVIZVOYAGE
8IVE x David Guetta
XG
Supernova Love
AWE
11NCT DREAM
ENHYPEN
KAVE
DREAMSCAPE
ROMANCE : UNTOLD -daydream-
Say My Name
12Lovelyz
Big Ocean
닿으면, 너
Follow
14YOUNHA
Yves
PRIMROSE
DAYCHILD
GROWTH THEORY FINAL EDITION
I Did
Steal Heart
CRESCENT
15Jin
ATEEZ
CLASS:y
Happy
GOLDEN HOUR : Part.2
LOVE XX
18TAEYEON
NEXZ
Letter To Myself
NALLINA
20A.C.EPINATA
19WayVHIGH FIVE
21NOWADAYSLet's get it
22JAY CHANG
LOVEONE
NEIGHBORHOOD
Funny Honey
25WayV
TWS
izna
FREQUENCY
Last Bell
N/a
26IRENELike A Flower
27KYUHYUNCOLORS

SM Entertainment กำลังคิดอะไรอยู่? เป็นคำถามที่สงสัยมาตลอด และเราเองก็คงจะไม่มีทางรู้ว่าคำตอบจริงๆคืออะไร แต่จากช่วงเวลาที่ผ่านมา 1 ปี ทำให้เราเห็นภาพบางอย่าง ภาพของรุกกี้เกิร์ลกรุ๊ปที่มีแนวทางชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่เดบิวท์ และสามารถต่อยอดคอนเซปนั้น การเลือกที่จะทำในสิ่งที่ยากของ SM เริ่มส่งผลออกมาในแง่บวกมากขึ้น (ถึงแม้คำว่า “ฟังยาก” ยังคงเจออยู่บ่อยๆจากชาวเนท)

Dumb Dumb เพลงโปรโมทล่าสุดจากอัลบั้ม The Red อัลบั้มเต็มชุดแรกของ Red Velvet ยังคงเป็นเพลง “ฟังยาก” สำหรับแฟนๆ K-Pop ที่ยังไม่ชินกับดนตรีในแนวทางใหม่ที่ SM พยายามนำเสนอควบคู่ไปกับ แนวทางเดิมที่ SM วางรากฐานไว้อย่างมั่นคงกับ Super JuniorGirl’s Generation, SHINee และ EXO

ผู้ที่ได้รับโจทย์ยากนี้จาก SM รายล่าสุด คือ LDN Noise ทีมโปรดิวเซอร์ระดับโลกที่ฝากผลงานในวงการ K-Pop ไว้มากมายกับวงบอยแบนด์ชื่อดังอย่าง Shinhwa, TVXQ, SHINee และ GOT7 โดยมีแกนนำทีมเป็น Greg Bonnick ที่เคยเข้าชิง Grammy Awards และได้ร่วมงานกับ Chris Brown ในเพลง Turn Up The music

ในเพลง Dumb Dumb ทีม LDN Noise ได้หยิบเอาสไตล์ Pop มารวมกับ R&B Soul สมัยใหม่ใส่เข้ากับบีทเสียงสังเคราะห์ รวมกับรายละเอียดเล็กๆน้อยที่เยอะมากจนฟังรอบเดียวคงไม่ทันสังเกตุ ตัวเพลงเองถูกมองว่าได้รับอิทธิพลมาจากเพลง Bang Bang ของ Jessie J, Ariana Grande และ Nicki Minaj เพลงสุดฮอทจากปี 2014 แต่ความต่างที่ชัดเจนคืออารมณ์และรายละเอียดความสนุกของเพลงในแบบของ Red Velvet โดยเฉพาะการใส่ท่อนแยก (นาทีที่ 2.25) ของ มักเน่เยริ ไอรีน และจอย เข้ามา ทำให้ตัวเพลงน่าสนใจเป็นอย่างมาก ทำให้บางคนถึงกับเปิดเพลงนี้ขึ่นมาเพื่อจะฟังท่อนนี้โดยเฉพาะ

นอกเหนือจากตัวเพลงแล้ว สิ่งที่สร้างความโดดเด่นให้กับเพลง Dumb Dumb คือตัว MV ที่เล่นกับแนวคิดของป๊อปอาร์ต สีสด คอนทราสต์จัด การนำองค์ประกอบแบบเรโทรมาใช้ รวมถึงการดึงอารมณ์และการวางองค์ประกอบฉากแบบหนัง Neo-noir (แนวเดียวกับที่ใช้ใน MV Automatic) โดยเพิ่มความแบนแบบการ์ตูน Comic-noir มารวมอยู่ใน MV ด้วย ซึ่งจาก MV K-Pop ในตลาดทั่วไปตอนนี้ยังน้อยที่จะนำแนวคิดแบบนี้มาใช้ ทำให้ความแตกต่างนี้กลายเป็นคุณค่าที่มากกว่าการเป็น MV ธรรมดาๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือการยอมรับในรูปแบบของ Red Velvet ทั้งเรื่องของคอนเซปวง และแนวเพลงที่แสดงให้เห็นเอกลักษณ์ของวงชัดเจน โดดเด่นออกมาจากตลาด K-Pop ในปัจจุบัน และพร้อมที่จะเป็นหัวแถวสำหรับแนวเพลงใหม่ของวงการ จากกระแสที่ถูกพูดถึง และยอดดิจิตอลในชาร์ทเพลงที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากปล่อยเพลงออกมา เป็นการยืนยันแล้วว่า โจทย์ยากของ SM ที่วางไว้ให้กับ Red Velvet ตั้งแต่เริ่มเดบิวท์ เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับการขยายตลาดเพลงและต่อยอดฐานแฟนคลับ เปิดประตูเข้าสู่ยุคใหม่ที่กำลังจะเติบโตในเร็ววันนี้

ปิดท้ายแบบส่วนตัว Dumb Dumb เป็นงานศิลปะที่ทำออกมาได้ประทับใจมาก จากโจทย์ยากของ SM ที่วางให้กับ Red Velvet ถือเป็นการให้เกียรติ และแสดงความนับถือต่อผู้ฟังและแฟนๆ ด้วยการนำเสนอสิ่งใหม่ที่ให้สิทธิผู้รับสื่อในการเลือกที่จะรับหรือไม่รับความต่างนี้ จากคุณภาพของงานที่นำเสนอออกมาอยู่ในระดับดีมากทั้งเรื่องของการวางคอนเซปและโปรดัคชัน การก้าวออกมาจากทางเดินเดิมที่ปลอดภัย สู่เส้นทางใหม่ที่เต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์ ความกล้าเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง … แต่ก็ดูเหมือนว่า SM จะไม่ค่อยกลัวกับเสียงวิจารณ์สักเท่าไหร่ :3

อ่านต่อ

Eddie Sophon

ผู้ก่อตั้งร่วมของ Hallyu K Star, โฮสต์พอดแคสต์ 'ดูซีรีส์ให้ซีเรียส' ผู้สนใจในวัฒนธรรมป๊อปของเกาหลี ทั้งเพลง-ซีรีส์-ภาพยนตร์ เลยเถิดไปถึงเรื่องสังคม เศรษฐกิจ และอาหารการกิน

บทความเกี่ยวข้อง

Back to top button