‘ทำไมผู้หญิงต้องเสียใจที่เกิดเป็นผู้หญิง’ – Diary of a Prosecutor

หลังจากที่ Diary of a Prosecutor ออกอากาศจบลงไปแล้วก็สัมผัสได้ถึงการเล่าเรื่องการใช้ชีวิตของคนธรรมดา หรือการนำเอาเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญ มาเล่าอย่างกระชับและขมวดจบในตอนเดียว ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย และชัดเจนในประเด็นที่ต้องการนำเสนอ
ในบรรดาตอนที่ออกอากาศมา ส่วนตัวชอบทั้งเนื้อหาและการนำเสนอของตอนที่ 8 มาก เนื่องจากเป็นตอนที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิของผู้หญิงในสังคมเกาหลี ซึ่งทำให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง “คิมจียอง เกิดปี 82” ที่ได้รับชมไปก่อนหน้านี้ โดยหนึ่งชั่วโมงของตอน 8 ได้อุทิศให้การเล่าเรื่่องชีวิตของผู้หญิงในหลายๆแง่มุม
เนื่องจากเหมือนว่าจะมีเพื่อนๆดูซีรีส์เรื่องนี้กันไม่มากนัก ทางเราก็เลยอยากเอาเรื่องราวดีๆนี้ มาส่งต่อให้คนที่ยังไม่ได้ดู และหวังว่าเพื่อนๆจะสนใจซีรีส์น่ารักๆ แต่แฝงไว้ด้วยแง่มุมดีๆเรื่องนี้ แต่ถ้าใครอ่านแล้วอยากชมแบบเต็มมีซับไทยให้ได้ชมกันที่ Viu นะคะ
🎙GYUBIN ปลื้มเมืองไทยขนาดไหน? ถึงกลับมาถ่าย MV เพลงใหม่ LIKE U 100 ที่กรุงเทพ
▶ คลิกดูสัมภาษณ์พิเศษ*** เนื้อหาของโพสนี้ เราจะถอดเอาเนื้อเรื่องของตอนที่ 8 ของซีรีส์ Diary of a Prosecutor “โดยละเอียด” ฉะนั้นนี่คือการสปอยล์ขั้นสุด (แม้เรื่องราวจะไม่ใช่แนวสืบสวนอะไร และมีลักษณะของการจบในตอนอยู่) หากใครคิดว่าอยากดูเอง อยากซึมซับเรื่องราวในแบบของตัวเอง ก็ปิดโพสได้เลยน้าาา ส่วนรีวิวที่เคยเขียน(แบบไม่สปอยล์) ก็เขียนไว้แล้ว ตามไปอ่านกันได้นะคะ ***
![]() | author ToiTing | KR SERIES LOVER |
6 โมงเช้า ที่ฟ้ายังไม่สว่างดีนักอัยการโอ ต้องตื่นขึ้นเพราะหนึ่งในลูกฝาแฝดของเธอที่นอนอยู่ด้วยกันเริ่มร้องไห้ และทำให้ลูกแฝดอีกคนตื่นและส่งเสียงงอแงขึ้น เธองัวเงียลุกขึ้น เพื่อตรวจดูผ้าอ้อม และเริ่มต้นวันของเธอด้วยการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกแฝดทั้งสองคน
6 โมงครึ่ง ที่บ้านของอัยการฮง ภรรยาของเขาตื่นขึ้นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก ลุกขึ้นจากเตียง โดยปล่อยให้เขาได้นอนต่อ เธอเริ่มหุงข้าว และเตรียมมื้อเช้าให้เขา ในขณะเดียวกับที่อัยการโอเอง ก็กำลังเตรียมมื้อแรกให้ลูกฝาแฝดของเธอ ด้วยการงัวเงียชงนม และทุลักทุเล กับการดูแลเด็กน้อยสองคนในเวลาเดียวกัน อยู่คนเดียว ร่างการที่ทรุดโทรมเพราะการใช้งานอย่างหนัก ทำให้เพียงแค่อุ้มลูกขึ้นจากพื้น ที่ก็ต้องร้องออกมาเพราะปวดหลัง ระหว่างให้นมเธอยังขอร้องให้ลูกดื่มนมให้เร็วสักหน่อย ราวอย่างให้เด็กน้อยเห็นใจว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวันที่แสนหนักหน่วงของเธอ จนเวลาค่อยๆล่วงเลย
7 โมง นาฬิกาของอัยการชา ปลุกเธอขึ้นจากเตียง ภรรยาของอัยการฮง ที่จัดการตั้งโต๊ะอาหารเช้าอย่างดี ทั้งซุปร้อนๆ และเครื่องเคียงหลายชนิด เรียกอัยการฮงที่ยังคงนอนหลับให้ลุกมารับประทานอาหารเช้า
7 โมงครึ่ง อัยการชา หยิบอาหารง่ายๆออกมาจากตู้เย็น และเปิดกล่องรับประทาน อัยการฮงยังคงยืนยันจะนอนต่อ แม้ภรรยาของเขาจะพยายามมาลากเขาให้ลุกจากเตียง อัยการชาเริ่มแต่งตัวเลือกเสื้อผ้า เตรียมไปทำงาน
7 โมง 45 นาที นาฬิกาปลุกอัยการอีตื่น เขาลุกงัวเงียบนเตียงสักพัก จึงเข้าห้องน้ำ เมื่อเสร็จ อัยการคิม ก็เปิดประตูห้องออกมาพอดี ทักทายกันเล็กน้อย แต่เมื่ออัยการคิมเปิดประตูห้องน้ำ ก็ต้องผงะกับกลิ่นที่อัยการอีทิ้งไว้ที่ถาโถมเข้ามาปะทะ อัยการอีเร่งให้อัยการคิมรีบ เพื่อจะได้ออกไปทำงานพร้อมกัน เขาจึงจำใจต้องเข้าใช้ห้องน้ำที่เต็มไปด้วยกลิ่นไม่พึงประสงค์ อัยการชาแต่งหน้าเสร็จ คว้ากระเป๋าและแก้วกาแฟ ออกจากบ้าน ทางบ้านอัยการฮง ภรรยาของเขาจูจี้ให้เขากินเยอะๆ ซึ่งเขาก็ทำได้แค่บ่นงุ้งงิ้ง
8 โมงครึ่ง อัยการอีและอัยการคิม แวะกินร้านอาหารเช้าข้างทาง อย่างรีบเร่ง อัยการอี ลุกก่อนที่อัยการคิมจะกินข้าวหมดด้วยซ้ำ
8 โมง 45 นาที อัยการชา เดินเข้าร้านกาแฟเจ้าประจำ และสั่งกาแฟแบบเดิมที่กินทุกครั้ง อัยการโอ บอกลาลูกๆของเธอที่กำลังร้องงอแง เมื่อคุณย่าของเด็กๆมารับช่วงต่อ ในการดูแลลูกของเธอ ในช่วงที่เธอออกไปทำงาน เธอรีบร้อนออกไปทำงานทันที
ณ หน้าลิฟท์ ภายในสำนักงานอัยการ อัยการอีและอัยการคิม เดินมาสมทบกับอัยการชาที่ยืนรออยู่หน้าลิฟท์ ตามด้วยอัยการฮง ทั้งหมดทักทายกันเล็กน้อย เมื่อลิฟท์เปิดก็พบกับหัวหน้าอัยการโจที่อยู่ในลิฟท์อยู่แล้ว ขณะที่ทุกคนเข้าไปพร้อมในลิฟท์และลิฟท์กำลังจะปิดลงก็ได้ยินเสียงอัยการโอ ที่กำลังวิ่่งมา ร้องขาให้หยุดลิฟท์เพื่อรอเธอด้วย เมื่อทุกคนอยู่ในลิฟท์ อัยการฮงบอกกับอัยการโอซึ่งแท้ที่จริงแล้วตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า และเช้ากว่าทุกคนที่อยู่ในลิฟท์ ว่าเธอควรตื่นให้เช้ากว่านี้ อัยการโอรับคำอย่างยิ้มแย้ม แล้วหันไปอีกทางด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
โลกนี้มีโรงเรียน และโรงเรียนสตรี ตำรวจ และตำรวจหญิง อาจารย์ และอาจารย์ผู้หญิง พนักงาน และพนักงานผู้หญิง เช่นเดียวกับอัยการที่มีทั้งอัยการ และอัยการหญิง
เหล่าอัยการแยกย้ายกัน อัยการโอใช้มือถือแทนกระจก และแต่งหน้า จังหวะนั้นแม่สามีของเธอก็โทรเข้ามาพอดี เธอรับสายและได้รู้ว่าลูกคนหนึ่งของเธอมีไข้ตัวร้อน และไม่รู้ว่าจะป่วย และทำให้อีกคนป่วยไปด้วยมั้ย ขณะเดียวกันแม่สามีของเธอ ก็คิดว่าอาจจะไม่สามารถดูแลเด็กสองคนได้ หากต้องพาไปโรงพยาบาลพร้อมกัน เธอจึงแนะนำด้วยความกังลว่า ให้ลองดูอาการก่อน เผื่อว่าจะดีขึ้น เพราะตอนนี้เธอคงจะทำได้แค่นั้น และกำชับแม่สามีของเธอ ว่าหากมีอะไรให้ติดต่อมา
ที่ห้องประชุมของอัยการทีม 2 หัวหน้าอัยการโจพูดถึงคดีค้าง ที่ก่อนหน้านี้อัยการชารับไปรับผิดชอบเสียกองโต แต่ก็มีกองใหม่ขึ้นมาอีก หัวหน้าอัยการต้องการคำอธิบายต่อเรื่องนี้ จึงถามกับคนที่มีคดีค้างมากที่สุด ซึ่งก็คืออัยการโอ ซึ่งอัยการโอก็แสดงความรู้สึกผิด และขอโทษหัวหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยหัวหน้าเองก็ถามกลับมาว่าที่บ้านมีปัญหาอะไรรึเปล่า ซึ่งเธอก็บอกว่าไม่มีอะไร ทำให้หัวหน้ายกอัยการอีขึ้นมาเปรียบเทียบว่า อัยการอีเองก็มีครอบครัวต้องดูแลเหมือนกัน แถมมีเรื่องเกี่ยวกับการย้ายโรงเรียนลูกก่อนหน้านี้ด้วย แต่ก็ยังจัดการเรื่องงานได้ดีกว่า และปิดท้ายด้วยการชื่นชมอัยการชาที่มีคดีค้างน้อยที่สุด
ความจริงแล้วถ้าเราได้ทำความรู้จักกับอัยการทีมนี้ก็จะรู้ว่าในบรรดาอัยการสองคนที่มีลูกคืออัยการอี และอัยการโอนั้น มีความแตกต่างกันอย่างมาก อัยการอี เป็นพ่อของลูกชายที่กำลังอยู่ในวัยรุ่นหนึ่งคน แต่เขาแยกกันอยู่กับครอบครัว เพราะเรื่องที่ทำงาน ทำให้เขาแทบไม่ได้ดูแลลูก และบางครั้งก็ไม่ได้กลับบ้านติดกันเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ต่างจากอัยการโอ ที่นอกจากจะต้องดูแลลูกคนเดียว ลูกของเธอยังเป็นลูกแฝดอีกด้วย
ด้านอัยการโอ ก็เดินตามอัยการฮงเข้ามาในห้องของอัยการฮง เพื่อปรับทุกข์ในความน้อยอกน้อยใจกับคำพูดของหัวหน้าอัยการ ซึงอัยการฮงก็ปลอบใจเธอไปว่าหัวหน้าคงไม่ทันได้คิด เธอยังเสริมอีกว่า หัหน้าอัยการมักเอาคดีที่จะสร้างชื่อให้หน่วยงานให้อัยการคนอื่นทำ โดนอ้างว่าเธอเป็นแม่น่าจะยุ่ง แล้วก็เอาเหตุผลว่าเธอยุ่ง(จากการเป็นแม่)มาโจมตีเธออีกที
อัยการอี อยู่ในห้องเพื่อสอบโจทก์ ที่ฟ้องคดีล่วงละเมิดทางเพศกับเพื่อนร่วมงาน เธอกล่าวถึงการล่วงละเมิดหลายแบบ ทั้งโอบกอด จับมือ หรือกระทั่งล่าสุด คือการจูบ ซึ่งนั่นทำให้เธอตัดสินใจแจ้งความหลังจากที่อดทนมานาน คำให้การของเธอ ขาดทั้งพยาน และหลักฐาน แถมยังดูไม่มีน้ำหนัก เธอตอบคำถามเรื่อยๆ แบบไร้อารมณ์ ด้วยท่าทางมีพิรุธ นั่นทำให้อัยการอีและผู้ช่วยรู้สึกแปลกๆ จนสุดท้าย โจทก์ ก็ถามกลับว่า พวกเขาก็คิดว่าเธอโกหกเหมือนกันใช่มั้ย ซึ่งอัยการอีก็ปฏิเสธว่า เขาแค่ต้องถามตามขั้นตอน
หลังจาก ออกจากห้องให้การ ผู้เสียหายรับโทรศัพท์และเดินคุยไประหว่างที่สวนกับอัยการฮง เธอไหล่ชนกับเขาเล็กน้อย เธอค้อมหัวแสดงความขอโทษ และแตะแขนของอัยการฮงอย่างเป็นกันเอง นั่นทำให้อัยการฮงสงสัยว่า เธอไม่น่าใช่เหยื่อของคดีล่งละเมิดทางเพศ เขาพูดเรื่องนี้ในโต๊ะอาหาร ระหว่างที่ทีมอัยการรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน อัยการจึงถามกลับว่า แล้วเหยื่อควรจะมีลักษณะอย่างไร หัวหน้าอัยการก็กล่าวว่าเขาไม่ควรพูดแบบนี้ เพราะอาจจะโดนฟ้องได้ แต่เขากลับบอกว่า นี่เป็นแค่การพูดคุยกันเล่นๆในหมู่เพื่อนร่วมงาน เขาได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เขารู้สึกว่าเหยื่อเป็นคนเซ็กซี่ จนอัยการโอต้องถามกลับไปว่า
“จะบอกว่าผู้หญิงเซ็กซี่ ไม่สามารถเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศได้งั้นเหรอคะ”
และนั่นทำให้บรรดาอัยการผู้ชายในโต๊ะ มองกันไปมาด้วยความอึดอัด จนอัยการฮงต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า เขาคิดว่าบางทีเธออาจจะเป็นพวกทีใช้ความเซ็กซี่ของเธอให้เป็นประโยชน์ก็ได้ สุดท้ายเขาก็ขอโทษออกมา โดยกล่าวแก้ตัวว่า เขาไม่ได้มีอคติ เพียงแต่เขาคิดแบบนั้นเพราะเธอแตะตัวเขา ตอนที่เดินสวนกัน ทุกคนแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อเขาอธิบายว่าเป็นเพียงการแตะแขนเบาๆ ทุกคนก็คิดว่าเขาคิดมากเกินไป สุดท้ายหัวหน้าจึงเตือนให้เขาระวังคำพูด แต่อัยการคิมกลับยกเอาเรื่องนั้นมาล้อเลียน ทำให้บรรดาอัยการผู้ชายขำกัน จนอัยการโอต้องอบรมเขาว่า นั่นคือการล้อเลียนเหยื่อ และการที่เหยื่อรวบรวมความกล้าออกมาพูดเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับเธอแล้ว ฉะนั้น
“อาชญากรรมทางเพศ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
แม่สามีของอัยการโอโทรเข้ามาระหว่างที่เธอยังกินข้าวยังไม่เสร็จ เมื่อหัวหน้าอัยการเข้าใจถึงสถานการณ์ลำบากเกี่ยวกับเรื่องลูกที่ป่วยของอัยการโอ จึงถามว่าเธอมีงานช่งบ่ายหรือไม่ เมื่อเธอตอบว่าไม่มี เขาจึงอนุญาตให้เธอพาลูกไปพบแพทย์ได้ ในช่วงบ่าย เธอจึงรีบออกไป ทิ้งเพื่อนร่วมงานที่มีท่าทีหนักใจไว้เบื้องหลัง
ณ โรงพยาบาล แพทย์หญิงหน้าตายิ้มแย้มตรวจอาการลูกของอัยการโอ แล้วบอกว่าเขาเพียงเป็นหวัดเท่านั้น อาการไม่ได้น่ากังวล แค่กินยาก็จะหาย หลังการตรวจที่ทำให้อัยการโอคลายความกังวลใจได้บ้าง คุณหมอก็ยื่นขวดเครื่องดื่มให้กับเธอ เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอที่ต้องกลับไปทำงานต่อ บนขวดมีกระดาษติดไว้ พร้อมข้อความว่า “ขอให้มีวันที่ดีนะคะ เราเป็นกำลังใจให้”
เมื่อเธอกลับมาที่บ้านและอธิบายสถานการณ์ให้แม่สามีฟังเรียบร้อย แม่สามีบอกให้เธอโทรหาสามีของเธอ เพื่อบอกให้เขาไม่ต้องกลับบ้านในสุดสัปดาห์นี้ด้วย แต่เธอไม่อยากให้ลูกชายของเธอต้องมาติดหวัด ทั้งที่ความจริงแล้วการดูแลเด็กที่งอแงเพราะไม่สบายเป็นเรื่องที่ลำบากมาก แต่แม่สามีกลับกังวลเพียงว่าลูกชายของตัวเองจะไม่สบายเท่านั้น แต่ไม่เห็นใจเลยว่าอัยการโอจะลำบากอย่างไร นั่นทำให้อัยการโอต้องอึ้งไป แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงฝากลูกไว้กับแม่สามีแล้วรีบวิ่งกลับไปที่ทำงาน
ขณะนั่งรถแท็กซี่ อัยการโอที่มีท่าทางเหนื่อยอ่อน ก็ได้รู้จากพนักงานสอบสวนว่า ความจริงเธอมีนัดสอบปากคำในช่วงบ่าย ซึ่งนั่นทำให้เธอต้องวิ่งตาเหลือกเข้าห้องสอบสวน ทำให้หัวห้าอัการที่มาเห็นเหตุการณ์พอดี ต่อว่าเธอ อย่างหนัก ที่เธอไม่รับผิดชอบหน้าที่ ทำให้พยานต้องรอนาน อีกทั้งการยอมรับความผิดและขอโทษพยานของอัยการโอ ก็ยิ่งทำให้หัวหน้าไม่พอใจมากไปกว่าเดิม เพราะนั่นคือการยอมรับว่าเธอทำความผิดจริง
อัยการโอกลับมาที่ห้อง และโทรหาสามีของเธอ เพื่อบอกว่าเขาไม่ต้องกลับบ้านในสุดสัปดาห์นี้ ระหว่างทีุ่ย เธอก็หาอะไรใส่ท้องไปด้วย จนทำให้ผู้ช่วยของเธอ มองด้วยความเห็นใจ วางสายจากสามี แม่สามีของเธอก็โทรเข้ามาแทบจะทันที เพื่อแจ้งข่าวว่าลูกของเธออีกคนก็ไม่สบายขึ้นมาอีก ทุกอย่างดูวุ่นวาย และนั่นทำให้เธอกังวลว่าจะอยู่ทำงานล่วงเวลาไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่รวบรวมสมาธิ และให้กำลังใจด้วยเองว่า “ฉันต้องทำได้”
ฟ้ามืดแล้ว อัยการโอวิ่งรีบร้อนออกจากห้องทำงาน มาเจอกับอัยการชาที่หน้าลิฟต์ ขณะอยู่ในลิฟท์ ทั้งสองพูดคุยกัน นำไปสู่คำถามของอัยการชาว่า “เป็น Working Mum มันหนักใช่มั้ยคะ” อัยการชาแนะนำว่า ถ้าลำบาก เธอก็ควรจะลางานไปซะ ไม่ใช่การมาทำงานแบบไม่เต็มประสิทธิภาพแบบนี้ นั่นทำให้อัยการโอถึงกับหน้าชา เมื่ออัยการโอบอกว่านั่นคือการดูถูกผู้หญิงด้วยกัน อัยการชากลับย้อนว่า เพราะเธอเป็นผู้หญิงเหมือนกันไง จึงไม่อยากให้ใครพูดได้ว่า เพราะเป็นอัยการผู้หญิง ถึงทำงานไม่ได้เรื่อง แม้จะทำให้อัยการโอ ไม่พอใจอย่างมาก แต่เธอก็ได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ ไม่พูดออกมา
หลังจากพาลูกอีกคนไปพบแพทย์ เธอก็สลบมาในรถแท็กซี่ จนถึงบ้าน พอเข้าบ้านเธอก็ต้องกลับมาล้างจาน และฟังคำแนะนำที่น่าปวดใจจากแม่สามีว่า เธอน่าจะลางานมาดูแลลูก แม้เธอจะรู้สึกไม่ดี แต่ก็ได้แต่เก็บไว้ ไม่พูดอะไรออกมา สุดท้ายตกดึก เธอก็ต้องดูแลลูกสองคนที่งอแงด้วยควาไม่สบายตัวคนเดียว จนเมื่อลูกหลับนั่นแหล เธอจึงได้นอนบ้าง แต่เพียงฟ้าสว่างลูกของเธอก็พร้อมจะตื่นขึนมางอแงอีกครั้ง ความวุ่นวายและเสียงกรีดร้องในยามเช้าเหล่านี้ กำลังจะทำให้เธอประสาทกินอยู่แล้ว
ที่ศาล คดีที่เธอดูแล ก็ถูกตัดสินให้จำเลยไม่มีความผิด ระหว่างที่เธอกำลังหัวเสีย สามีของเธอก็โทรมาบอกว่าเขาอยู่ที่บ้านแล้ว และสามารถอยู่ได้ยาวถึงสุดสัปดาห์ แต่นั่นทำให้เธอยิ่งรู้สึกแย่ ที่เขาไม่ฟังสิ่งที่เธอบอกเลย เขาไม่เข้าใจว่าทำไม เธอไม่บอกความจริงว่าที่บ้านมีีปัญหา แต่อะไรก็ชัดเจนขึ้น เมื่อแม่สามีของเธอขอพูดสายกับเธอ และวุ่นวายกับการสั่งให้เธอหาวัตถุดิบที่เป็นของโปรดของลูกขายสุดที่รัก รีบกลับบ้านมาทำอาหารจากโปรดให้ลูกชายที่เพิ่งกลับบ้านมาได้กินอร่อย พอเธอบอกว่าไม่สามารถรีบกลับได้ และบอกให้แม่สามีใช้ของที่มีอยู่แล้วทำอาหาร กลับทำให้แม่สามีไม่พอใจ เพราะคิดว่าสามีของเธออุตส่าห์เสียสละลางานมาและตัดสายไปอย่างไม่สบอารมณ์
ที่ห้องทำงานของอัยการอี เขากำลังสอบพยานคดีล่วงละเมิดทางเพศ เพื่อนร่วมงานชาย ให้ข้อมูลว่า เหยื่อไม่ใช่คนที่จะยอมให้เอาเปรียบ และเธอ “ไม่ธรรมดา” โดยบอกว่าเธอ “อ่อย” รุ่นพี่ผู้ชายทุกคน
ผลการพิจารณาคดีที่แพ้ของอัยการโอ ทำให้อัยการชาที่ดูแลคดีนี้มาก่อน ไม่พอใจอย่างมาก เธอโทษว่าเพราะลูกของอัยการโอ ทำให้เธอเสียสมาธิ แม้อัยการโอจะปฏิเสธ แต่เธอก็ไม่เข้าใจ อัยการชาต่อว่าอัยการโอ ต่อหน้าคนอื่นอย่างไม่ไว้หน้า เมื่ออัยการโอย้อนถามว่า เธอโทษว่าอัยการโอ ไม่รับผิดชอบหน้าที่เพราะเป็นแม่คนงั้นเหรอ เธอก็ย้อนกลับว่า “ไม่ใช่เหรอ” และนั่นทำให้อัยการโอพูดไม่โอ โชคดีที่หัวหน้าอัยการโล่มาขัดจังหวะพอดี เหตุการณ์จึงจบลง
วงสนทนาของทีมผู้ช่วยวันนี้ ต่างคุยกันถึงเหตุการณ์การเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนของสองอัยการหญิง ในขณะที่ผู้ชายบอกว่าอัยการชาพูดตรงเหลือเกิน ผู้ช่วยจางกลับแย้งว่า นั่นไม่ใช่การพูดตรง เพราะลูกๆของอัยการโอไม่ผิด คนที่ผิดคือรัฐบาลและพวกเรา “รัฐบาลเอาแต่บอกว่าคนเกิดน้อย และจี้ให้คนมีลูก พอมีลูก ก็บอกว่าเพราะลูกยังเล็ก เด็กจึงต้องการแม่ดูแล” ใครๆก็พูดแบบนี้ แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็มาลงที่ผู้หญิง เหตุการณ์ของอัยการโอ ทำใหู้้ช่วยจางคิดถึงชีวิตของตัวเอง สมัยที่ลูกชายของเธอยังเล็ก พวกผู้ชายแสดงความเห็นว่า “สมัยนี้ดีขึ้นมากแล้ว หัวหน้าก็ใจดีมากแล้ว” ผู้ช่วยจางได้แต่มองหน้าทุกคน แล้วย้อนพวกเขาว่า ” ถ้ามันดีขึ้น ถ้าหัวหน้าใจดีจริงๆ เราคงไม่ต้องมาคุยกันเรื่องนี้หรอก ” แล้วลงมือทานข้าวต่อเงียบๆ
อัยการโอ เริ่มมีอาการไอระหว่างทำงาน ขณะเดียวกัน อัยการอีก็เรียนจำเลยมาสอบ จำเลยเล่าถึงเรื่องเกี่ยวกับเลื่อนตำแหน่งที่ผู้เสียหายคาดหวังอย่างมาก ซึ่งเขารู้ว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่เขากลับบอกให้เธอทำงานให้หนัก เมื่อไม่สมหวังเธอจึงไม่พอใจอย่างมาก เขาบอกว่าเธอน่าจะโกหกและฟ้องเขาเนื่องจากแค้นในเรื่องนี้ และยังสำทับว่าผู้เสียหายเป็นคนชอบแตะเนื้อต้องตัวคนอื่น และปฏิบัติกับทุกคนเป็นปกติ และยืนยันว่าเหตุการณ์ที่ผู้เสียหยากล่าวอ้าง (การบังคับจูบ) ไม่เคยเกิดขึ้น
อัยการฮง ชวนอัยการโอที่เหมือนจะป่วยมากขึ้น ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน โดยบอกว่าสามีของเธอจะเป็นคนเลี้ยง นั่นทำให้เธอแปลกใจและโมโหที่เขาทำอะไรโดยไม่ปรึกษาเธอ เธอโทรไปต่อว่าเขา และพบว่าความจริงแม่สามีของเธอเป็นต้นคิดเรื่องนี้ ซึ่งสามีของเธอเข้าใจว่านั่นเป็นเพราะแม่ของเขาต้องการช่วยเหลือเธอ แต่ความจริงแล้วเธออ่านสถานการณ์ได้ขาดว่า แม่สามีของเธอต้องการให้สามีของเธอที่เป็นอัยการเช่นกัน ผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงานของเธอเอาไว้ เธอปฏิเสธไม่ให้เขาเลี้ยงมื้อเย็น หรือมาร่วมวง แต่กลับชวนให้เพื่อนร่วมงานของเธอไปกินกันที่ร้านลับของพวกเขาแทน
แม้จะอึดอัดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้้น และอาการเหมือนจะป่วยของอัยการโอ พวกเขามาดื่มกินกัน เธอดื่มแบบไม่พัก แม้อัยการอีจะพยายามห้าม ทุกคนพยายามถามว่า เธอไวไหม และนั่นทำให้เธอยิ่งโมโห เธอคงคิดในใจว่า “ต้องไหวสิ ยังไงก็ต้องไหว” แต่สุดท้ายแค่แก้วที่สอง เธอก็ล้มพับไปเลย!!!
พวกเขาพาเธอไปโรงพยาบาล สามีและแม่สามีของเธอก็ตามมาดูอาการ หลังจากที่ทีมอัยการผู้ชายกลับไป เธอถามถึงลูกของเธอทันที และคำตอบทีได้รับก็ทำให้เธอผิดหวังกับการดูแลลูกของสามีของเธอ แม่สามียืนยันว่าเธอควรจะลางาน และที่เธอพูดแบบนี้ก็เพราะห่วงเธอ จิตใต้สำนึกของเธอ เอ่ยถามแม่สามีของเธอว่า เธอห่วงกันจริงๆเหรอ ขณะเดียวกันแม่สามีก็ยังดูแลลูกชายองตัวเองอย่างดี และบอกว่าเขาคงเหนื่อยมาก ทำให้ภายในของเธอถึงกับของขึ้น และโวยวายว่าเธอเองก็เหนื่อยเหมือนกัน เธอเองก็เป็นอัยการ งานของเธอก็สำคัญเหมือนกัน ภายในเธอเจ็บปวด จนน้ำตาแทบไหล เมื่ออธิบายโดยไม่มีเสียงว่า เธอเองก็เป็นลูกที่พ่อแม่ของเธอภภาคภูมิใจเช่นกัน และสุดท้าย เธอก็พูดมันออกมา พูดสิ่งที่อยู่ในใจว่า เธอเองก็มีค่าไม่ต่างหากลูกชายของแม่สามีของเธอ ภายในของเธอเต็มไปด้วยคำพูดมากมาย แม้ไม่ได้ออกเสียงแต่เธอก็คิดในใจว่า เธอเองก็เหนื่อย แต่ต้องกลับมาทำงานบ้าน ดูแลลูก เวลาที่แม่สามีอยู่ เธอก็ต้องทำหน้าที่ลูกสะใภ้ ไม่ได้พักเลย ทุกอย่างจะจบก็เมื่อเข้านอนเท่านั้น แม้เธอจะพูดมันออกมาบางส่วน แต่ภายในของเธอก็ยังต่อว่าตัวเองที่ไม่กล้าพูดเพื่อตัวเองมากกว่านี้ เพียงแต่พึมพำงึมงำ แม้แต่แม่สามีก็ไม่เข้าใจที่เธอพูด เธอจึงได้แต่ขอตัวพักผ่อนและบอกให้พวกเขากลับไป
แม้ก่อนจากไปทั้งสองจะแสดงท่าทีห่วงใย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด กลับทำให้เธอ ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ความเป็นผู้หญิง และความเป็นแม่ของเธอ ทำให้งานที่เธอทำงานอย่างหนัก เช่นเดียวกับสามีของเธอ ฐานะของลูกคนหนึ่งที่ไม่ต่างกับสามีของเธอลดทอนลง มันช่างเจ็บปวด จนยากจะทนไหว จนเธอต้องร้องไห้อยู่ในโรงพยาบาลอย่างเดียวดาย สุดท้ายเธอต้องจัดการพาตัวเองออกจากโรงพยาบาล และจัดการเรื่องค่ารักษาด้วยตัวเอง
เช้าวันต่อมาเรื่องวุ่นก็เกิดขึ้น เมื่อแม่สามีของเธอเกิดอาการหลังหักจนต้องส่งโรงพยาบาล และเธอหายตัวไป ไม่กลับบ้าน และไม่สามารถติดต่อได้ อัยการชา และอัยการอี จึงต้องมาที่บ้านของเธอ เพื่อช่วยดูแลฝาแฝดแทน อัยการอี เสนอว่าพวกเขาควรออกตามหาอัยการโอ เมื่อไม่มีคนอื่นว่าง อัยการชาประเมินสถานการณ์ว่าเด็กแฝดคงไม่ยากเกินรับมือ และอาสาดูแลเด็กๆอยู่ที่บ้าน แต่เพียงหย่อนก้นลงนั่ง หลังส่งอัยการอีเท่านั้น ความโหดที่เกินการคาดเดาของอัยการชาก็เริ่มขึ้น!!!!
อัยการอีไปตามหาอัยการโอที่โรงพยาบาล จากกล้องวงจรปิดพบว่า อัยการโอนั่งแท็กซี่ออกไปด้วยตนเอง ทางด้านอัยการที่อยู่ในสภาพบบช้ำก็ได้อัยการฮงและสามีมาช่วยชีวิตไว้ทัน
อัยการอีตัดสินใจจะไปที่โรงพัก เพราะเขาพบว่าอัยการโอ เดินทางไปถึงหน้าบ้าน แต่กลับไม่ได้เข้าบ้าน เขาคิดไปไกลถึงขั้นว่า เธออาจจะโดนลักพาตัว แต่พออัยการชา ทบทวนอีกครั้ง เธอก็ชวนอัยการอีไปพบกันที่สำนักงานอัยการแทน
เมื่อมาถึง พวกเขาพบอัยการโอ นั่งหลับอยู่ข้างเครื่องถ่ายเอกสาร ในเครื่องมีเอกสารคำร้องขออุทธรณ์คดีที่จำเลยรอดไปได้ พร้อมขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่วางเปล่าตกกลิ้งอยู่ที่พื้นข้างตัว
อัยการโอรีบรุดมาที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการของแม่สามี เธอเตรียมใจว่าจะต้องโดนว่าเรื่องที่ิดต่อเธอไม่ได้แน่ แต่กลายเป็นว่า แม่สามีของเธอ ก็ถามกลับถึงอาการของเธอ และบอกว่าไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจที่อัยการอีมุ่งมั่นกับการทำงาน แต่เห็นว่าเธอเหนื่อยมาก เลยอยากให้ลางาน เพราะเธอเป็นอัยการที่ทำงานรับใช้ชาติ พักบ้างใครจะมาว่าได้ อัยการโอเลยอธิบายว่าเธอไม่สามารถลาได้ง่ายๆ ทั้งอัยการหญิงยังมักถูกตำหนิเรื่องการต้องให้เวลาในการดูแลลูกบ่อยๆ แม่สามีเธอถึงกับเอ่ยออกมาว่า ขนาดอัยการยังโดนเลยเหรอ ประเทศนี้มันล้าหลังจริง สุดท้ายอัยการโอจึงเสนอให้สามีของเธอเป็นคนลามาเลี้ยงลูกแทน แต่กลายเป็นว่าพวกเขาต้องยอมรับความจริงว่า ถึงสามีของเธอจะลางาน ก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้ เนื่องจากไม่เคยทำหน้าที่เลี้ยงลูกมาก่อน เพราะความคิดที่สังคมมีว่า การเลี้ยงลูกต้องเป็นหน้าที่ของแม่… ความคิดนี้ ที่ทำให้ไม่ว่าคุณจะเป็นอัยการ หรือมีหน้าที่การงานดีแค่ไหน ถ้าคุณเป็นแม่ คุณก็ต้องรับผิดชอบการเลี้ยงดูลูกเป็นหลักอยู่ดี
อาจเพราะอัยการโอรู้สึกว่าเธอเริ่มได้รับความเข้าใจและความช่วยเหลือเกื้อกูลจากคนรอบตัว เธอจึงสามารถกลับมารับช่วงต่อการดูแลลูกจากอัยการฮง และภรรยาได้อย่างแจ่มใสอีกครั้ง ที่บ้านพักของอัยการชา เธอเหนื่อยอย่างไม่เคยมาก่อนกับการเลี้ยงเด็ก แม้ในช่วงเวลาสั้นๆ พักผ่อนกับการดื่มเบียร์ในห้องของเธอ และคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น
อัยการอี เรียกสอบผู้เสียกายคดีล่งละเมิดทางเพศอีกครั้ง เขาแจ้งว่าหลายคนคิดว่าเธอกุเรื่อง และเธออาจต้องใช้ความกล้าหาญมากกว่าแค่การรวบรวมความกล้ามาฟ้อง เพื่อทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง และทำให้การฟ้องร้องเป็นผล
เธอจึงตัดสินใจเล่าเรื่องชีวิตการทำงานของเธอ… สิ่งที่เธอต้องทำ เพื่อให้ได้เข้าสังคมเช่นเดียวกับพวกผู้ชาย เช่นการสูบบุหรี่ที่เธอต้องทำเพื่อสร้างความสนิทสนมและทำให้เติบโตในหน้าที่การงาน และเธอก็เรียนรู้ว่า รูปลักษณะภายนอกก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้งานของเธอสะดวกมากขึ้น เธอจึงต้องพยายามดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เธอต้องแลเรื่องรูปร่าง การแต่งตัว เหรอสุดท้าย อาจไปถึงต้องทำศัลยกรรม เพื่อเสริมสวย เพื่อให้ได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้น และเพื่อให้ได้รับความสนใจมากขึ้น และนั่นนำไปสู่ความคิดว่า พวกเธอยินยอมให้พวกเขาละเมิดในร่างกายของเธอ เริ่มมีการแตะเนื้อต้องตัวเกิดขึ้น เธอก็ทำได้เพียงแค่คิดว่า เป็นอีกเรื่องที่เธอต้องอดทน ซึ่งสุดท้ายมันกลับนำไปสู่การล่วงละเมิดที่เธอรับไม่ไหวอย่างการบังคับขืนใจจูบที่เกิดขึ้น
ผู้หญิงทำงานบางคนต้องทำถึงขนาดนั้น เพราะแม้พวกเธอจะมีความสามารถมากกว่าผู้ชาย ก็ไม่อาจก้าวหน้าได้เท่ากับพวกเขา เพียงเพราะเธอเป็น “ผู้หญิง” พวกเธอจึงต้องทำหลายสิ่งทีผู้ชายไม่จำเป็นต้องทำ หลายสิ่งที่ค่อยๆบั่นทอนคุณค่าของพวกเธอยิ่งกว่าเดิม เปลี่ยนรูปลักษณ์ อาจต้องเปลี่ยนกระทั่งหน้าตา อาจต้องพยายามใช้คำพูดอ่อนหวาน หรือโอนอ่อนตามความต้องการของคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าโดยไม่เต็มใจ และความต้องการของพวกเขาก็มากขึ้นๆ จนเกินที่พวกเธอจะสามารถรับได้ จนบางครั้งสะสมจนทำให้พวกเธอต้องสูญเสียหลายสิ่ง นำไปสู่ความอับอาย สูญเสียความภูมิใจในตน และอาจเลวร้ายถึงขั้นนำไปสู่อาการซึมเศร้า
ทำไมผู้หญิงต้องสูญเสียมากมายขนาดนั้น เพียงเพื่อให้ได้รับคุณค่าในระดับเดียวกับผู้ชาย
ทำไมผู้หญิงต้องเสียใจที่เกิดเป็นผู้หญิง
อัยการชา มาชื่นชมคำร้องของอัยการโอถึงห้องทำงาน และปิดท้ายว่าเธอเข้าใจแล้วว่า การเลี้ยงลูกไปพร้อมกับการทำงานไม่ใช่เรื่องง่าย และเธอเป็นกำลังใจให้ความยากลำบากที่อัยการโอกำลังเผชิญ… แม้แต่ผู้หญิงด้วยกัน บางทีก็ไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์บางอย่างได้ ความเหนื่อยยาก บางครั้งก็ต้องประสบด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจ แต่มันไม่จำเป็นหรอก แม้ไม่มีโอกาสได้ประสบ หากเราเปิดใจ ก็สามารถเข้าใจกันได้
คลิกเพื่อชม: ซีรีส์ Diary of a Prosecutor ตอนที่ 8 พร้อมซับไทย
โลกนี้มีทหาร และทหารหญิง โลกนี้มีนักแสดง และนักแสดงหญิง มีนักเรียน และนักเรียนหญิง เช่นกัน ในการทำงานของเหล่าอัยการก็มีทั้ง อัยการ และอัยการหญิง แต่มันถึงเวลาแล้วที่เราจะเรียกทุกคนว่าอัยการ ให้ความหมายกับทุกอย่างโดยไม่แบ่งแยกเพศ และใช้ชีิวิตร่วมกันในโลกนี้ ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหน ทุกคนจะมีคุณค่าเท่าเทียมกัน