ยูคอนยอง: ‘ล่ามเกาหลีสายฮา’ ขวัญใจคนใหม่ของแฟนๆ KPOP ไทย

ปี 2018 ที่ผ่านมาแฟนๆ KPOP ในไทยมีกิจกรรมให้ได้ติดตามกันแบบทุกสัปดาห์ตั้งแต่เริ่มปี 2018 กันเลยทีเดียวและหนึ่งในสีสันสำคัญของงานกิจกรรม KPOP ต่างๆในประเทศไทย ก็คือผู้ที่มาทำหน้าที่ ล่ามแปลภาษา ที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างศิลปินและแฟนๆ ซึ่งงานจะออกมามีสีสันแค่ไหนส่วนหนึ่งก็มาจากการทำหน้าที่ของล่ามในงานนั้นๆ
สำหรับปี 2018 ที่ผ่านมา อันดับหนึ่งของล่ามที่สร้างความประทับใจให้กับทีมบรรณาธิการของ Hallyu K Star ที่เข้าร่วมงานแถลงข่าว และงานกิจกรรม KPOP ต่างๆในปีนี้ จนลงคะแนนร่วมกันว่าเค้าคือหนึ่งในการค้นพบครั้งสำคัญของวงการ KPOP ในไทยปี 2018 กับเจ้าของประโยคแนะนำตัวที่ทีมบรรณาธิการของเราจำขึ้นใจ ว่า
“สวัสดีครับ จ้างหนึ่งได้ถึงสอง ผม ยู ยูคอนยอง รับหน้าที่ล่ามและพิธีกรในวันนี้ครับ”
🎙GYUBIN ปลื้มเมืองไทยขนาดไหน? ถึงกลับมาถ่าย MV เพลงใหม่ LIKE U 100 ที่กรุงเทพ
▶ คลิกดูสัมภาษณ์พิเศษ2018 DISCOVERY: ยูคอนยอง
หลายๆคนที่ได้ไปร่วมงานกิจกรรม KPOP ต่างๆในปีนี้ น่าจะเริ่มคุ้นเคยกับล่ามสายฮาคนนี้กันแล้ว กับลีลาการแปลที่สนุกสร้างบรรยากาศให้กับทั้งแฟนๆและศิลปินได้ครื้นเครงกันไปตลอดทั้งงาน ซึ่งเราได้คุยกันแบบเป็นกันเองก่อนเริ่มคอนเสิร์ตงานหนึ่งที่ คุณยู มารับหน้าที่ ถึงความเป็นมาและเรื่องราวต่างๆของเค้า
ภาษาไทยที่เรียนรู้จากการใช้ชีวิตแบบคนไทย
เอกลักษณ์ในการแปลของ คุณยู ทำให้แฟนๆรู้สึกว่าเหมือนการฟังประโยคพูดคุยทั่วไป ที่มีอรรถรสและความสนุกในแบบไทยๆ ซึ่งการเรียนภาษาไทยของ คุณยู มาจากการใช้ชีวิตแบบคนไทยทั่วๆไปตั้งแต่เด็ก
“จริงๆแล้วผมโตที่ไทยครับ ผมย้ายมาใช้ชีวิตที่ไทยตั้งแต่ตอนประถมตามคุณพ่อที่ย้ายมาทำงานที่นี่ เราก็มากันทั้งครอบครัวเลยครับ มีคุณพ่อ คุณแม่ ผม แล้วก็น้องชายอีกคน
คุณพ่อผมเค้าชอบเมืองไทยแล้วก็อยากที่จะใช้ชีวิตที่เมืองไทยนานๆ แต่ตัวเค้าเองพูดไทยไม่ได้ก็เลยอยากที่จะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนไทย ซึ่งผมก็เรียนที่โรงเรียนหน้าหมู่บ้านเลยครับ เข้าไปเรียนกับนักเรียนไทยคนอื่นแบบที่ผมยังพูดไทยไม่ได้เลย
จำได้ว่าตอนเทอมแรกที่เรียนมันยากมากครับ ไม่รู้เรื่องเลย อ่านหนังสือก็ไม่ออก แต่พอดีมีเพื่อนอีกคนในห้องมาจากไต้หวันแล้วก็พูดไทยไม่ได้เหมือนกันก็เลยมีเพื่อนที่ช่วยกันเรียนภาษาไทย ตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็จะมาเรียนภาษากับคุณครูด้วยกัน พอผ่านไปเทอมนึงก็เริ่มฟังไทยออกแล้วครับ เพราะว่ายังเป็นเด็กด้วยก็เลยเรียนรู้ได้เร็ว”
ถึงจะอยู่ไทยแต่ก็ไม่เคยดูทีวีที่ไทยที่บ้านเลยตอนเด็กๆ
คุณยู ได้เล่าถึงกฎบ้างอย่างของที่บ้านหลังจากที่ย้ายมาอยู่ไทย ด้วยความที่คุณพ่อไม่อยากให้ลืมภาษาเกาหลีทำให้ที่บ้านของ คุณยู ไม่เปิดทีวีที่เป็นช่องของไทยเลย
“พอผมเริ่มพูดไทยได้ ก็เริ่มคุยภาษาไทยกับน้องชายผมที่เริ่มเรียนภาษาไทยมาด้วยกันครับ ทีนี้พอผมเริ่มพูดภาษาไทยที่บ้านก็โดนดุครับ เพราะคุณพ่อเค้าไม่อยากให้ผมลืมภาษาเกาหลี เวลาอยู่ในบ้านก็อยากให้คุยกันด้วยภาษาเกาหลี
สมัยเด็กๆตอนนั้นทีวีที่บ้านจะไม่ต่อเสาอากาศเลยครับ จะต่อแค่วีดีโอเท่านั้น เวลาคุณพ่อกลับไปเกาหลีเค้าก็จะเหมาวีดีโอรายการ ละครต่างๆกลับมาเป็นลัง เวลาอยากดูทีวีก็เปิดพวกนี้ดูเอาเป็นภาษาเกาหลีทั้งหมดครับ เลยทำให้ความรู้เรื่องภาษาเกาหลีไม่หายไปไหน”
เริ่มสนใจเรียนด้านภาษาเพราะคิดว่าตัวเองมีเซนส์
“ตอน ม.ปลาย ผมเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาครับ เพราะคิดว่าตัวเองมีเซนส์ด้านนี้ คือไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งนะครับ แต่รู้สึกว่าเรามีความถนัดพิเศษด้านภาษา
แล้วพอเราได้ภาษาเกาหลี ได้ภาษาไทยแล้ว เราก็อยากจะได้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สามอีกก็เลยไปติว TOEFL แล้วก็สอบเข้าเรียนมหิดลอินเตอร์ครับ ระหว่างเรียนมหาลัยก็รับงานแปลพวกเกมออนไลน์ไปด้วยเป็นการหาค่าเทอมครับ ก็เลยได้ใช้ทักษะด้านภาษาของตัวเองมาตลอด”
จุดเริ่มต้นของการเป็นล่ามภาษาเกาหลี-ไทย
“หลังจากทำงานแปลแล้ว ก็ได้โอกาสย้ายทำงานในส่วนของ GMMInter ครับ ได้เริ่มเบนสายเข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง ตอนนั้นก็ได้ติดต่อกับ Rain แล้วก็รับหน้าที่เป็นล่ามเพราะตอนนั้นล่ามภาษาเกาหลี-ไทยมีน้อยมากครับ ก็เลยต้องคอยทำหน้าที่แปลหลายๆอย่างในการประสานงานทั้งเรื่อง เวที ไปจนถึงทีมโปรดัคชั่นของเกาหลีเลย
แล้วเวลาที่ศิลปินเค้าไปตามสื่อเราก็ไปกับเค้าด้วยตลอดครับ ทีนี้โปรดิวเซอร์สถานีวิทยุ กับรายการเพลงเค้าก็เห็นว่าเราเป็นคนสนุกเฮฮา ก็เลยเริ่มมีคนชวนให้ไปเป็น DJ, VJ ซึ่งสุดท้ายผมก็เลือกที่จะเป็น DJ ที่คลื่น Seed ครับ ผมก็ทำงานตรงนี้จนเรียนจบมหาลัย แล้วผมก็ตัดสินใจออกห่างจากวงการบันเทิงมาเพื่อใช้ชีวิตทำงานแบบปกติทั่วไป แล้วก็แต่งงาน มีครอบครัวครับ”
การกลับมาทำหน้าที่ล่ามในวงการบันเทิงอีกครั้ง
“ผมพักจากการเป็นล่ามให้กับงานอีเวนท์ KPOP ไปประมาณ 4 ปีได้ครับ ระหว่างนั้นก็มาทำงานด้านการตลาดให้กับบริษัทเกาหลีในไทยบริษัทนึง แล้วก็ทำหน้าที่เป็นล่ามด้านการเจรจาธุรกิจ ซึ่งอารมณ์มันก็จะแตกต่างออกไปเลยกับงานก่อนหน้านี้ การแปลก็จะต้องนิ่งๆเน้นเนื้อหาและความถูกต้องให้มากที่สุด แล้วก็มีงานล่ามอื่นๆอย่างเป็นล่ามให้กับทนายจากสถานทูตไปสื่อสารกับนักโทษในเรือนจำ ซึ่งภาษาที่ใช้ก็จะเป็นอีกรูปแบบไปเลย
ผมตัดสินใจกลับมาทำงานนี้อีกครั้งเพราะคิดถึงสมัยวัยรุ่นครับ การได้กลับมาทำงานนี้เหมือนเป็นการกลับมารับพลังจากทุกคนหลังจากที่ไปทำงานเครียดๆวันจันทร์ถึงศุกร์ ซึ่งงานแรกของผมในการกลับมาคืองานแฟนมีตติ้งของ คุณยูซอนโฮ เมื่อปีที่แล้วครับ พอกลับมาทำงานนี้แล้วเหมือนกับตัวเองได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจากพลังบวกของผู้ชมเวลาเค้ามีความสุขกัน เวลาที่ทุกคนส่งเสียงเชียร์ มันเหมือนมีประจุบวกที่วิ่งเข้าหาผมเลยครับ “
การเป็นล่ามงาน KPOP ในแบบของ ยูคอนยอง
“สำหรับผมแล้วการเป็นล่ามคือการสื่อความหมายจากอีกภาษาออกมาให้ผู้ฟังเข้าใจ แต่ในแง่ของการเป็นล่ามงานบันเทิงผมคิดว่าล่ามเป็นองค์ประกอบหนึ่งของงานนั้นๆครับ ถ้าเราไปเน้นในเรื่องของการแปลตรงตามที่พูดเกินไปมันจะทำให้การสื่อความออกมาขาดอารมณ์ที่ศิลปินเค้าอยากถ่ายทอดออกมา
ซึ่งก่อนที่งานจะเริ่มระหว่างที่ผมพูดคุยกับศิลปินหลังเวที ทุกคนจะบอกกับผมว่าอยากให้อารมณ์ที่สื่อสารออกมาเหมือนเป็นเพื่อนพูดคุยกัน เรายืนอยู่บนเวทีอยากให้เหมือนเป็นพี่น้องกันที่ขึ้นไปสนุกบนเวที อยากให้พี่ล่าม ช่วยใส่ออกมาให้มันสนุกเต็มที่ เพราะเค้าเข้าใจว่าต่อให้เค้าสนุกแค่ไหนแต่ถ้าการแปลออกมาจืด เน้นแต่ความถูกต้อง มันก็จะทำให้ความสนุกมันสะดุดกลางทาง”
“แต่บางครั้งก็มีผู้ชมเข้าใจผิดครับ แล้วคิดว่าทำไมล่ามคนนี้ทำหน้าที่เกินตัว บางคนก็คิดว่าเราอยากแย่งซีนอยากดัง“
คุณยู ได้พูดถึงความตั้งใจในการทำหน้าที่ล่ามของเค้า ซึ่งบางครั้งก็ถูกเข้าใจผิดในเรื่องนี้
“จริงๆแล้วความตั้งใจของผมคืออยากให้ทุกคนรู้สึกคุ้มค่ากับการได้มาพบศิลปินที่รัก ได้มาเห็นศิลปินผ่อนคลายจากกรอบต่างๆในคาแรคเตอร์ที่ค่ายวางไว้ แล้วปล่อยความเป็นตัวเองออกมาให้เต็มที่ด้วยความสนุกบนเวที ซึ่งสำหรับผมมันเป็นเสน่ห์สำคัญของงานแฟนมีตติ้งครับ
ดังนั้นผมเลยอยากให้ศิลปินรู้สึกผ่อนคลาย ให้เวลาคุยกับเราเหมือนการคุยกับพี่ ซึ่งศิลปินจะไม่เรียกผมว่าล่ามครับ จะเรียกผมเป็นพี่ ‘โอปป้า, ฮยอง’ ตลอดเลย ถึงขนาดที่บางคนรู้สึกเป็นกันเองจนแกล้งหยอกผมเล่นบนเวทีก็มีครับ
อย่างในงานของคุณ คิมดงฮัน ที่เค้ามาจากรายการ Produce 101 แล้วเค้าก็รู้ครับ ว่าผมเคยร่วมงานกับศิลปินคนอื่นๆที่มาจากรายการเดียวกัน พอเค้าเจอผมเค้าก็บอกกับผมว่า ‘พี่ครับเอาให้สนุกๆแบบงานก่อนหน้านี้เลยนะครับ เต็มที่ได้เลยครับไม่ต้องยั้งไว้’ ซึ่งเวลาเค้าเปิดใจมาแบบนี้พอขึ้นบนเวทีเราก็อยากเต็มที่ให้กับเค้า
พองานมันออกมามีชีวิตชีวา สนุก แฟนๆเองก็ประทับใจ ศิลปินก็ประทับใจ และจดจำว่างานที่ไทยคือความสุขสำหรับเค้าอยากกลับมาอีก พอถึงการวางแผนกิจกรรมคราวหน้าประเทศไทยก็จะเป็นประเทศหลักๆที่เค้าอยากมา ซึ่งมันเป็นผลดีกับทุกคนครับ”
เมื่อมีคนชอบก็ย่อมมีคนไม่ชอบ
ท่ามกลางคำชม และพลังบวกต่างๆที่ คุณยู ได้รับก็มาพร้อมกับคอมเมนต์ด้านลบที่มาจากความไม่พอใจของผู้ชม ซึ่ง คุณยู มีมุมมองที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับประเด็นนี้
“ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าระหว่างการทำงานก็มีข้อผิดพลาดจากข้อมูลที่เรายังรู้ไม่มากพอ ซึ่งแฟนๆของศิลปินก็จะมีคอมเมนต์ว่าในจุดที่เค้ารู้สึกไม่พอใจ แต่เวลาโดนคอมเมนต์ว่าผมจะไม่รู้สึกแย่เลยครับ อย่างในทวิตเตอร์เวลามีใครมาคอมเมนต์ด้านลบผมก็จะไปขอบคุณเค้า
เพราะผมเองก็อยากรู้ว่าผู้ชมรู้สึกยังไง ต้องการอะไร ผมจะได้เอามาปรับปรุง เอามาพัฒนาตัวเราเอง เพราะผมได้สัมผัสกับแฟนๆของไอดอลเกาหลีที่มาไทยตั้งแต่ยุคแรกๆ อย่างสมัย Rain หรือตามงานเทศกาลต่างๆในเกาหลีที่เราเห็นความทุ่มเทของแฟนคลับซึ่งเราเองก็ไม่อยากทำให้พวกเค้าผิดหวัง ผมเลยพยายามจะเก็บข้อมูลและเรียนรู้อยู่ตลอด
คอมเมนต์เหล่านั้นทั้งด้านบวก ด้านลบ มันเป็นเหมือนคำสอนสำหรับเราครับ … ตราบใดที่เค้ายังไม่ด่าไปถึง ลูก ภรรยา พ่อแม่ผม (คุณยู ปิดท้ายถึงประเด็นนี้แบบติดตลก)”
ความประทับใจของล่ามสายฮาในปี 2018
“ที่รู้สึกประทับใจมากในปีนี้ คือการได้ร่วมงานกับวง UNB ครับ เพราะผมเองสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากศิลปินอื่น อาจจะเพราะว่าพวกเค้าเคยมีความรู้สึกผิดหวังในการทำกิกจรรมกันมาก่อน ก่อนที่จะมาได้โอกาสรวมตัวกันในวงนี้ ซึ่งพวกเค้ามีความมุ่งมั่นที่จะทำโอกาสนี้ให้สำเร็จ เวลาที่มองพวกเค้าจะเห็นได้จากแววตาเลยครับว่าพวกเค้ามุ่งมั่นกันมากๆ
อีกคนคือ คุณซูยอง สมาชิกของ SNSD ครับ เพราะว่าเธออยากที่จะแสดงออกให้กับแฟนๆได้เห็นถึงตัวตน ความรู้สึกของเธอจริงๆ ซึ่งในสมัยที่ทำกิจกรรมกับวงอาจมีปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้เธอไม่สามารถแสดงออกมาได้เต็มที่ อย่างความรู้สึกต่อแฟนๆ ซึ่งเธอพยายามสอบถามด้วยตัวเธอเอง เพื่อจะสื่อความตั้งใจที่อยากเทคแคร์แฟนๆอย่างดีมาโดยตลอด ตั้งแต่ในอดีต มาจนถึงปัจจุบันและต่อไปในอนาคต และอยากแสดงออกไปให้แฟนๆเข้าใจความตั้งใจของเธอ ซึ่งความใส่ใจในเรื่องละเอียดอ่อนด้วยตัวเธอเองแบบนี้เป็นความรู้สึกที่น่าประทับใจมากจริงๆครับ”
คุณยู ทิ้งท้าย
“ใครที่ติดตามทวิตเตอร์ผมอยู่จะรู้สึกได้ว่าผมไม่กั๊กเรื่องที่รู้ไว้เลยครับ เวลาศิลปินพูดอะไรดีๆหลังเวทีผมก็จะเอามาบอกต่อ มีเทคนิคการแปลการเป็นล่ามผมก็จะแนะนำออกไป เพราะผมอยากให้เด็กๆที่เค้ามีความฝันในการเป็นล่ามได้มีความรู้จากผมไปใช้ในการเรียนรู้ พัฒนาตัวเค้าเอง
แล้วก็มีอะไรติ หรือแนะนำในแต่ละงานก็คอมเมนต์ได้เลยครับ ผมจะนำไปปรับปรุง และทำหน้าที่ออกมาให้ดีที่สุด”
ใครที่ชื่นชอบลุงล่ามสายฮา ‘ยูคอนยอง’ ไปติดตามและให้กำลังใจกันได้ทางทวิตเตอร์ @gyyoo85 | 유근영 “ยู คอนยอง” แล้วมาสนุกสนาน เฮฮากันต่อในปี 2019 นะ