News

อีแฮอิน เปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นใน Idol School ตั้งแต่ออดิชัน-รอบสุดท้าย

กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกว้างออกไปเรื่อยๆจากการตรวจสอบความโปร่งใสของคะแนนโหวตในรายการ PRODUCE X 101 ที่บานปลายสู่การตรวจสอบรายการอื่ๆนของ Mnet ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรายการ Idol School

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณพ่อของ อีแฮอิน ได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องสัญญาของผู้เข้าแข่งขันในรายการ Idol School ที่ลูกสาวได้เซ็นสัญญากับบริษัทย่อยของ CJ ENM เพื่อโอกาสในการเดบิวต์หลังจากต้องตกรอบในการแข่งขัน

ล่าสุด อีแฮอิน ได้ออกมาโพสต์ยาวเยียดบนอินสตาแกรมส่วนตัวเพื่อเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในการแข่งขันของรายการ Idol School จากมุมมองของเธอ ซึ่งปัจจุบันเธอได้ยกเลิกสัญญากับทาง CJ ENM แล้ว

ความฮาแบบ BABYMONSTER! วัดสกิลวาไรตี้กับ Knowing Brothes ดูได้ที่ Viu ▶ คลิก

การออดิชันของ 3,000 คนใน Idol School ที่ผู้เข้าแข่งขันหลายคนไม่ได้เข้าร่วม

“จากประเด็นเรื่องการออดิชันของ 3,000 คน เป็นความจริงที่ฉันได้รับการบอกว่าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม ถ้าทางรายการจะบอกว่าพวกเราทุกคนได้เข้าออดิชันจริง ฉันก็อยากจะขอให้เปิดเผยวีดีโอของการออดิชันในรอบแรกออกมา

เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลาของการออกอากาศตอนแรก และการเริ่มเข้าค่ายฝึกซ้อมของพวกเรามันแตกต่างกันมาก และฉันคงบอกได้แค่ในสิ่งที่ฉันรู้ ที่เป็นข้อเท็จจริง และจะไม่พูดถึงสิ่งที่ฉันคิดระหว่างการถ่ายทำรายการ”

การเปลี่ยนกติกากระทันหัน

“ระหว่างที่ฉันกำลังเตรียมโชว์ในเพลง Mr. Mr. เพื่อจะแข่งในรอบโพสิชันแบทเทิล คล้ายๆกับใน PRODUCE 101 เพื่อหาเด็กฝึกหัดอันดับ 1 ในแต่ละทีม จู่ๆในวันที่จะแข่งกันทีมงานก็เปลี่ยนกติกากะทันหัน เป็นการแบทเทิลกันของ 2 ทีม ไม่ใช่การแข่งกันในทีมของตัวเอง”

การจัดฉากเหมือนกับการถ่ายละคร

“ในการถ่ายทำมีช่วงที่เราถ่ายทำกันโดยไม่มีเพลงอะไรเลยค่ะ แล้วทีมงานก็บอกให้เราขยับตัวไปตามจังหวะแล้วก็บอกว่าเพลงนี้ดี แล้วก็ให้พวกหันมายิ้ม ให้เราทำเสียงหัวเราะเป็นแบคกราวด์ มันเหมือนกับเรากำลังถ่ายละครกันอยู่ค่ะ”

สัญญากับ CJ ENM

“คนที่เซ็นสัญญาระหว่างการถ่ายทำไม่ใช่ทั้ง 41 คนอย่างที่มีการพูดถึงในบทความค่ะ แต่มีแค่บางคนเท่านั้นที่ได้เซ็นสัญญา ถ้าทางรายการยังยืนยันว่าทุกคนได้เซ็นสัญญาก็ขอให้เปิดเผยรายละเอียดสัญญากับหลักฐานการจ่ายเงินค่าเซ็นสัญญาออกมาค่ะ”

การออกอากาศวันสุดท้าย

“หนึ่งวันก่อนที่ฉันจะตกรอบใน Idol School ทีมงานได้พูดคุยกับผู้เข้าแข่งขันที่เหมือนว่าจะได้เดบิวต์แต่ไม่อยากเดบิวต์ และปลอบพวกเธอ ซึ่งมันทำให้ฉันคิดว่าฉันอาจจะตกรอบ ฉันก็เลยได้เตรียมคำพูดสำหรับพูดตอนตกรอบไว้เผื่อว่ามันจะเกิดขึ้น

วันต่อมาหลังจากที่เตรียมการแสดงแล้ว ฉันขึ้นไปยืนบนเวทีด้วยความคิดที่ว่านี่อาจจะเป็นโชว์สุดท้ายในชีวิตของฉัน แล้วก็เป็นอย่างที่ฉันคิดคือฉันตกรอบด้วยอันดับ 11″

การจัดการที่ไม่เหมาะสมในรายการ

“เราเข้าแคมป์ที่ English Village ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถึงจบการออกอากาศซึ่งต่างกับตอน PRODUCE 101 ที่เราจะเข้าหอพักกันเป็นช่วงสั้นๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราไม่มีต้นสังกัดคอยดูแล และถูกห้ามใช้โทรศัพท์ด้วย

ตอนเข้าแคมป์เราจะได้ซื้อของใช้จำเป็นกันเดือนละครั้งที่ Olive Young และไม่มีอะไรกินเลยนอกจากอาหารที่เตรียมไว้ในแต่ละมื้อ ซึ่งคนที่พลาดมื้ออาหารจากการนอนหลับหรือมีอาการป่วยก็จะไม่สามารถออกไปซื้อทานจากร้านใน English Village ได้ ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่เราต้องอดอยากกันตอนเข้าแคมป์ แล้วก็เป็นความจริงค่ะที่เด็กบางคนต้องแอบเอาอาหารเข้ามาด้วยการยัดในเสื้อผ้าหลังจากกลับจากโรงเรียน ซึ่งหลายๆคนก็ถูกริบอาหารพวกนั้นไปเพราะมีการตรวจ

ที่ English Village ในยางพยองอากาศจะหนาวกว่าที่โซล ทำให้ช่วงท้ายๆของรายการเราต้องการเครื่องอุปโภคบริโภคที่มันเหมาะกับสภาพอากาศซึ่งรายการก็ไม่อนุญาตให้เราออกไปจากแคมป์ และให้ทางผู้ปกครองส่งมาให้เพียง 1 กล่องเท่านั้น

ไม่ใช่แค่เรื่องอากาศหรือเรื่องอาหารค่ะ ทีมงานจะสั่งอาหารเข้ามาทานกันแล้วก็มีขนมต่างๆ ซึ่งบางครั้งพวกเราก็แอบหยิบอาหารที่เหลืออยู่มา ในช่วงการถ่ายทำมันไม่มีเรื่องคำว่าสิทธิมนุษยชนเลยค่ะ แล้วผู้แข่งขันส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กด้วยซึ่งไม่มีการคำนึงถึงมาตรฐานเรื่องระยะเวลาของการถ่ายทำด้วยเช่นกัน

เราต้องอยู่ในหอพักที่ไม่มีหน้าต่างกันจนเริ่มมีปัญหาเรื่องผิวหนัง แต่ทีมงานก็บอกให้เรานอนๆไป จนเราแจ้งเรื่องนี้บ่อยๆถึงได้ย้ายหอพัก ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่ามันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นถ้าเราไม่แจ้งปัญหาออกไป

ฉันก็เข้าใจว่าอาจจะมาจากการมีทีมงานที่ไม่เพียงพอในการดูแลผู้เข้าแข่งขันจำนวนมาก แต่เรื่องปัจจัยพื้นฐานแล้วมันก็ไม่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตในหอพักเลยค่ะ”

สำหรับการออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ อีแฮอินได้เปิดใจว่าเธอเองรู้สึกกังวล และไม่รู็ว่าควรจะทำตัวอย่างไรต่อประเด็นต่างๆที่กลับมาเป็นปัญหาอีกครั้ง ทำให้เธอตัดสินใจที่จะเล่าความจริงในมุมมองของเธอออกมา ซึ่งสำหรับเรื่องของความไม่โปร่งใสในเรื่องการโหวตเธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพียงแค่ต้องการเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นในรายการออกมา ซึ่งเธอเชื่อว่าความจริงทั้งหมดจะถูกเปิดเผยด้วยการสืบสวนของทางตำรวจที่กำลังดำเนินอยู่

คลิกเพื่ออ่าน: Idol School กับสัญญาเดบิวต์ที่ไม่ได้เดบิวต์ของ อีแฮอิน

อ่านต่อ

Eddie Sophon

ผู้ก่อตั้งร่วมของ Hallyu K Star, โฮสต์พอดแคสต์ 'ดูซีรีส์ให้ซีเรียส' ผู้สนใจในวัฒนธรรมป๊อปของเกาหลี ทั้งเพลง-ซีรีส์-ภาพยนตร์ เลยเถิดไปถึงเรื่องสังคม เศรษฐกิจ และอาหารการกิน

บทความเกี่ยวข้อง

Back to top button